Openai/693951a7-4388-8001-b488-0179abf0cd3b
This conversation was exported from ChatGPT[1]
gpt-5-1-thinking[edit | edit source]
User: วิเคราะห์คอมเมนต์นี้ ถ้าดูจาก Tokyo Disneyland ที่บริษัทญี่ปุ่นลงทุนด้วยตัวเอง 100% แล้ว และจาก Hong Kong Disneyland ที…[edit | edit source]
วิเคราะห์คอมเมนต์นี้ ถ้าดูจาก Tokyo Disneyland ที่บริษัทญี่ปุ่นลงทุนด้วยตัวเอง 100% แล้ว และจาก Hong Kong Disneyland ที่รัฐบาลฮ่องกงไปอ้อนวอน Disney อย่างถึงที่สุด ยอมทำทุกอย่างตามที่ Disney ต้องการ ยอมมอบพื้นที่ให้ตามเงื่อนไข Disney ยอมสร้างรถไฟฟ้าสายพิเศษเข้าไป ยอมร่วมลงทุนในสัดส่วนตามที่ Disney เรียกร้อง และอะไรอื่นๆ อีกมากมายที่รัฐบาลฮ่องกงยอมทำตามหมด จน Disney ยอมมาร่วมลงทุนด้วยในอัตราส่วน 48:52
และถึงอย่างนั้น Hong Kong Disneyland ก็ยังแบกรับการขาดทุนอีกเป็นสิบปี จนเพิ่งมาเห็นตัวเลขกำไรไม่นานมานี้ แต่รัฐบาลฮ่องกงก็ยอมมาตลอด เพราะมองว่าแม้จะขาดทุนในส่วนของดิสนีย์แลนด์ แต่ดิสนีย์คือแม่เหล็กที่จะดึงนักท่องเที่ยวเข้าฮ่องกงอย่างมหาศาลและจะมีผลพลอยได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อฮ่องกงอย่างคิดมูลค่าไม่ได้เลย นี่คือสิ่งที่รัฐบาลฮ่องกงทุ่มสุดตัวด้วยวิสัยทัศน์ที่มองไกลมาก (ปัจจุบันรัฐบาลฮ่องกงก็ยังเป็นเจ้าของ Hong Kong Disneyland ด้วยสัดส่วนที่เกินครึ่ง)
หันกลับมามองที่ประเทศไทย กล้าบอกเลยว่ารัฐบาลไทยเห็นแก่ตัวและขี้เหนียวครับ ไม่ยอมลงทุนอะไรเองหรอก อ้างว่ารัฐไม่มีงบลงทุน แต่ชอบให้เอกชนมาลงทุนในรูปแบบ Build Transfer Operate เรียกให้เอกชนมาลงทุนทำสัมปทาน แล้วโอนให้เป็นทรัพย์สมบัติรัฐ จากนั้นก็ให้เอกชนกินรายได้อยู่ระยะเวลาหลายสิบปีก่อนที่จะตกกลับมาเป็นของรัฐ ดูอย่างรถไฟฟ้าก็ได้ ให้เอกชนเสี่ยงลงทุนเองหมด หรืออย่างชินคังเซ็นสายเหนือ จะเอาเทคโนโลยีญี่ปุ่นมาสร้างสายเหนือ แต่บอกให้ญี่ปุ่นเป็นผู้ลงทุนเอง อ้าว บ้านเมืองตัวเองแท้ๆ ไม่ยอมลงทุนเอง แต่จะให้คนอื่นมาลงทุนให้ พอเค้ามองว่าไม่คุ้มทุน เค้าก็ไม่มาหรอกครับ แต่ครั้นไทยจะไปเอื้อให้เอกชนมาทำ ยอมลดแลกแจกแถม ยอมอ่อนข้อกฎหมายให้เอกชนเต็มที่ รับรองว่ามีคนไปร้องศาลปกครองว่ารัฐเอื้อประโยชน์ให้เอกชนอีก หนักกว่านั้นศาลสั่งยกเลิกสัญญา เดือดร้อนเอกชนที่หลวมตัวเข้ามาอีก กฎหมายบ้านเรามันตึงมากเกินไป การบังคับใช้กฎหมายก็วัดเป็นไม้บรรทัดจนไม่ดูความเหมาะสม สิ่งเหล่านี้มันด้อยพัฒนาซะจนไม่เอื้อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าเลย
ดูจากสิ่งที่รัฐบาลฮ่องกงทำ ต้องยอมแก้กฎหมาย ต้องยอมเอกชนเฉพาะราย ต้องให้สิทธิพิเศษต่างๆ แก่เอกชนเป็นกรณีพิเศษ แล้วต้องควักเงินรัฐลงทุนอีกครึ่งนึง กว่าดิสนีย์จะยอมลงทุนด้วย กว่าจะกลายมาเป็นดิสนีย์แลนด์ แล้วก็ยังต้องขาดทุนอีกเป็นสิบๆ ปี....รัฐบาลไทยพร้อมทำแบบฮ่องกงได้มั้ยครับ แล้วถ้าทำแล้วธุรกิจจะมั่นคงพอชนิดที่ไม่มีศาลปกครองมายุ่งย่ามว่ารัฐลงทุนโดยเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนได้มั้ยครับ ประชาชนจะรับได้มั้ยว่าธุรกิจดิสนีย์แลนด์นี้จะต้องขาดทุนอีกเป็นสิบๆ ปี (แต่บอกเลยว่าผลประโยชน์ทางอ้อมต่อการท่องเที่ยวบ้านเรา มหาศาลมากแน่นอน) ถ้ารัฐบาลพร้อม ประชาชนพร้อม กฎหมายบ้านเมืองพร้อม ก็สู้บากหน้าไปอ้อนวอนขอร้องดิสนีย์ได้เลยครับ แต่ถ้าไม่พร้อม ก็เลิกฝันลมๆ แล้งๆ ได้เลยครับ
Assistant: คอมเมนต์นี้มีทั้งส่วนที่ “ข้อมูลจริงพอสมควร” กับส่วนที่เป็น “การตีความ+อารมณ์จัด” ปนกันอยู่ เดี๋ยวแยกทีละชั้นนะ[edit | edit source]
คอมเมนต์นี้มีทั้งส่วนที่ “ข้อมูลจริงพอสมควร” กับส่วนที่เป็น “การตีความ+อารมณ์จัด” ปนกันอยู่ เดี๋ยวแยกทีละชั้นนะ
1. ส่วนที่คอมเมนต์เล่า “ค่อนข้างตรงข้อเท็จจริง”[edit | edit source]
Tokyo Disneyland[edit | edit source]
- Tokyo Disneyland/DisneySea ถูกสร้างและบริหารโดยบริษัทญี่ปุ่นชื่อ Oriental Land Company (OLC) ที่ลงทุนเอง 100% ฝั่ง Disney แค่ขายลิขสิทธิ์แบรนด์+ออกแบบ แต่ไม่ได้ถือหุ้นในสวนสนุกเลย Wikipedia[2] → ตรงกับที่คอมเมนต์บอกว่า “ญี่ปุ่นลงทุนเอง 100%”
Hong Kong Disneyland[edit | edit source]
- Hong Kong Disneyland ดำเนินการผ่านบริษัทร่วมทุน Hongkong International Theme Parks (HKITP) ผู้ถือหุ้นคือ - รัฐบาลฮ่องกง (HKSAR) - The Walt Disney Company
- โครงสร้างเดิม: รัฐบาลฮ่องกงประมาณ 57% / Disney 43% จากการที่รัฐบาลลงเงิน-ถมทะเล-ทำอินฟราฯ มากกว่าดิสนีย์หลายเท่า siteselection.com[3]
- ปัจจุบัน หลังปรับโครงสร้างและเพิ่มทุนหลายรอบ สัดส่วนเปลี่ยนเป็น รัฐบาลฮ่องกง 52% / Disney 48% Hong Kong Disneyland[4] → ตัวเลข 48:52 ที่คอมเมนต์พูดถือว่า “โดยรวมใช้ได้” แค่ไม่ได้เล่าไทม์ไลน์ว่าก่อนหน้านี้รัฐบาลถือมากกว่านี้
เรื่อง “ขาดทุนเป็นสิบปีแล้วเพิ่งกำไรไม่นานนี้”[edit | edit source]
ข้อมูลจริงคร่าว ๆ คือ
- HK Disneyland เปิดปี 2005
- ขาดทุนต่อเนื่องช่วงแรกหลายปี
- เคยกลับมากำไรแถว ๆ ปีงบประมาณ 2012–2014 แล้วกลับไปขาดทุนอีกหลายปีช่วงหลัง (โดยเฉพาะก่อน/ระหว่างโควิด) Wikipedia[5]
- แล้วเพิ่งประกาศ “กำไรสุทธิสถิติสูงสุด” ประมาณปีงบ 2023–2024 หลังจาก “ขาดทุนติดต่อกัน 9 ปี” ตัวเลขกำไรสุทธิราว 800 กว่าล้านเหรียญฮ่องกง Hong Kong Disneyland[6]
ดังนั้นประโยคแนว ๆ “ขาดทุนเป็นสิบปี เพิ่งเห็นตัวเลขกำไรไม่นานนี้” ถือว่าตรงในเชิงภาพใหญ่ แต่อาจทำให้เข้าใจผิดว่า “ไม่เคยกำไรเลยจนถึงปัจจุบัน” ทั้งที่จริงมีช่วงสั้น ๆ ที่เคยมีกำไรแล้วกลับไปแดงอีก
2. เหตุผลเศรษฐกิจที่คอมเมนต์ยกมาถือว่า “มีน้ำหนัก”[edit | edit source]
แนวคิดของคอมเมนต์คือ
- รัฐบาลฮ่องกงยอมขาดทุนในดีลดิสนีย์แลนด์ เพราะมองว่า
- “ขาดทุนในโปรเจกต์ แต่กำไรประเทศ”
- จากเม็ดเงินท่องเที่ยว การจ้างงาน ภาษี ภาพลักษณ์ ฯลฯ
อันนี้ไม่ใช่เรื่องมโนเอง แต่เป็นตรรกะที่รัฐบาลฮ่องกงใช้สื่อสารจริง ๆ ตั้งแต่ตอนดีลดิสนีย์แลนด์ใหม่ ๆ ว่าเป็นยุทธศาสตร์ดึงนักท่องเที่ยวและสร้างแบรนด์เมืองท่องเที่ยวระดับโลก รัฐบาลยอมลงเงินก้อนใหญ่ในฐานะ “อินฟราฯ ด้านท่องเที่ยว” และตามมาด้วยการอัดเงินเพิ่มทุน/ขยายสวนอีกหลายรอบในฐานะการลงทุนระยะยาวของรัฐ app7.legco.gov.hk[7]
พูดง่าย ๆ คือ
- โปรเจกต์สวนสนุก อาจไม่สวยหรูในงบการเงินช่วงแรก
- แต่ ผลต่อเศรษฐกิจเมือง (โรงแรม ร้านค้า การบิน การจ้างงาน ภาษี) อาจคุ้มค่าในมุมรัฐบาล
ตรงนี้คือ “จุดแข็ง” ของคอมเมนต์ ที่พยายามชี้ให้เห็นว่า ถ้าจะเอา Disney มาเป็นแม่เหล็กใหญ่ รัฐต้อง “กล้าคิดแบบพอร์ตโฟลิโอประเทศ” ไม่ใช่ดูแค่กำไรขาดทุนของสวนสนุกอย่างเดียว
3. แต่คอมเมนต์ก็ “โรแมนติคฮ่องกง” และ “ด่ารัฐบาลไทยแรงไปหน่อย”[edit | edit source]
คำอย่าง
- “รัฐบาลไทยเห็นแก่ตัวและขี้เหนียว”
- “กฎหมายบ้านเราตึงเกินไป ไม่เอื้อความเจริญ”
เป็น value judgement/อคติ มากกว่าจะเป็นการวิเคราะห์เชิงโครงสร้าง
(1) ฮ่องกงเองก็มีดราม่าหนักกับดีลดิสนีย์[edit | edit source]
ไม่ใช่ว่าคนฮ่องกงปรบมือทุกคน
- มีการวิจารณ์ว่ารัฐลงเงินมากกว่าดิสนีย์หลายเท่า แต่ได้หุ้นแค่ ~57% และดิสนีย์ยังเก็บค่าลิขสิทธิ์/ค่าบริหารไปอีก ถือเป็นดีลที่ “ใจดีเกิน” กับบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างชาติ eScholarship[8]
- ตอนสวนยังขาดทุน มีคนเสนอให้ “เลิกดันทุรัง” หรือเอาที่ดินไปทำอย่างอื่น เช่น ที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยา เพราะฮ่องกงมีปัญหาที่อยู่อาศัยหนักมากเอง รัฐบาลยังเคยกดดันให้ดิสนีย์คืนที่ดินส่วนขยายเพื่อเอาไปทำบ้านพัก TIME[9]
แปลว่า “โมเดลฮ่องกง” เองก็มีทั้งคนที่มองว่า visionary และคนที่มองว่าเป็นการเอาภาษีประชาชนไปเสี่ยงกับความฝันของบริษัทต่างชาติ
(2) ไทย “ไม่กล้าทุ่มแบบฮ่องกง” = แย่ เสมอไปจริงไหม?[edit | edit source]
คอมเมนต์ตีความว่า
- ไม่กล้าลงทุนใหญ่ๆ เพื่อดึงเมกะโปรเจกต์ = เห็นแก่ตัว/ขี้เหนียว/ด้อยพัฒนา
แต่ในอีกมุมหนึ่ง การ ไม่ยอมล็อกอินเวสต์เมนต์มหาศาล กับบริษัทเดียว ก็อาจเป็น:
- ความระมัดระวังด้านหนี้สาธารณะและงบลงทุน
- การมองว่าตลาดท่องเที่ยวไทย “มี demand อยู่แล้ว” (ทะเล วัด อาหาร ฯลฯ) การจ่ายแพงเพื่อซื้อ IP ดิสนีย์อาจไม่จำเป็นเท่ากับประเทศที่ต้องสร้างแม่เหล็กใหม่
- การกังวลเรื่อง perception ว่า “เอื้อประโยชน์ให้ทุนใหญ่ต่างชาติ” มากไป ในบริบทไทยที่เรื่อง corruption/ฮั้วสัมปทานเป็น topic ไวต่อสังคม
ซึ่งตรงนี้ “จะบอกว่าไทยผิดเต็มๆ” ก็อาจง่ายไปหน่อย มันคือ trade-off ทางนโยบายมากกว่า
4. เรื่องกฎหมาย-ศาลปกครองที่คอมเมนต์พูด[edit | edit source]
คอมเมนต์มองว่า
- ถ้ารัฐให้สิทธิพิเศษเฉพาะรายแบบฮ่องกง
- หรือแก้กฎหมายเพื่อดีลเดียว
- สุดท้ายจะมีคนฟ้องศาลปกครอง และศาลอาจสั่งโมฆะ ทำให้เอกชนเดือดร้อน
อันนี้สะท้อนปัญหาจริงบางส่วนในไทยคือ
- กรอบกฎหมายจัดซื้อจัดจ้าง / PPP / สัมปทาน เขียนมาเพื่อป้องกัน “การเอื้อประโยชน์เฉพาะราย”
- ศาลปกครองทำหน้าที่คุมว่ารัฐใช้อำนาจถูกต้องไหม เพื่อปกป้องผลประโยชน์ส่วนรวม
ข้อดีคือ กันการแจกแต้มให้เอกชนหน้าเดิม ข้อเสียคือ ถ้ากฎหมาย/ระเบียบเขียนแข็งไป + การตีความอนุรักษนิยมเกิน ก็ทำให้ดีลพิเศษ/ดีลเชิงยุทธศาสตร์ทำยากมาก
แต่ก็ต้องพูดให้แฟร์ว่า ถ้ารัฐ “อยากเล่นดีลดิสนีย์จริงจัง” ก็ต้อง
- เขียนกฎหมายเฉพาะทางให้ชัดว่าเป็นโครงการเชิงยุทธศาสตร์ระดับชาติ
- ผ่านสภา เปิดดีเบตและอธิบายผลประโยชน์ส่วนรวมอย่างโปร่งใส
- ตั้งกรอบ PPP ที่ระบุชัดเจนว่ารัฐได้อะไรเอกชนได้อะไรอย่างสมเหตุสมผล
ถ้าทำครบและโปร่งใส โอกาสที่ศาลจะสั่งยกเลิก เพราะ “เอื้อเอกชนโดยไม่ชอบ” ก็ลดลงมาก (แม้จะไม่ใช่ศูนย์)
5. ถ้าไทยจะ “เอาดิสนีย์แลนด์” แบบฮ่องกงจริง ๆ ต้องตอบคำถามอะไรบ้าง[edit | edit source]
อันนี้เป็นส่วนที่คอมเมนต์สรุปว่า “ถ้าไม่พร้อมก็เลิกฝัน” ซึ่งแรง แต่ก็ชี้ประเด็นถูกหลายข้อ เราขอเรียบเรียงใหม่ให้เป็น checklist:
- พร้อมรับ “ขาดทุนโครงการ” นาน 10+ ปีไหม - ทั้งในงบของบริษัทร่วมทุน - และในสายตาประชาชน/ฝ่ายค้าน/สื่อ เวลาเห็นตัวเลขขาดทุนปีแล้วปีเล่า
- เชื่อจริง ๆ ไหมว่าเม็ดเงินท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น “เกินคุ้ม” กับเงินภาษีที่อัดลงไป - ต้องมีการศึกษาเชิงเศรษฐศาสตร์แบบจริงจัง (cost–benefit analysis, spillover effects ฯลฯ) - ไม่ใช่แค่ความรู้สึกว่า “ดิสนีย์แลนด์ = ดีแน่”
- กฎหมายและสังคมไทยรับได้ไหมกับดีล “ให้สิทธิพิเศษเฉพาะราย” - จะ support ยังไงไม่ให้โดนมองว่า “อุ้มทุน” - วางกลไกตรวจสอบ/เปิดเผยสัญญาอย่างไร
- ที่ดิน+โครงสร้างพื้นฐานที่ต้องใช้ “มีค่าในทางเลือกอื่นแค่ไหน” - ที่ดินริมน้ำ/ใกล้เมืองใหญ่ ถ้าไม่ทำดิสนีย์แลนด์ จะเอาไปทำอะไรได้อีก (บ้าน, สวนสาธารณะ, เขตเศรษฐกิจ ฯลฯ)
- อำนาจต่อรองของไทยกับ Disney แกร่งพอไหม - จะกลายเป็นดีลที่เรา “ลงเงินมากกว่า ถือหุ้นน้อยกว่า แล้วยังต้องจ่ายค่า license กลับไปให้เขาอีก” แบบที่นักการเมืองฮ่องกงบางส่วนด่ารัฐตัวเองหรือเปล่า Accidental Travel Writer[10]
6. สรุปภาพรวม: คอมเมนต์นี้ “ชี้โจทย์ถูก แต่ด่าไทยแรงไป”[edit | edit source]
ข้อดีของคอมเมนต์
- หยิบกรณีศึกษาจริง (HKDL, TDL) มาพูด ไม่ได้มโนจากอากาศ
- เข้าใจหลักคิดเรื่อง “รัฐยอมลงทุน/ขาดทุนระยะยาวเพื่อผลประโยชน์ทางอ้อม” ได้ค่อนข้างตรง
- ตั้งคำถามดีว่า ถ้าไทยอยากได้โปรเจกต์ระดับดิสนีย์จริง ๆ - รัฐบาลพร้อมจะกล้าลงทุนไหม - ประชาชนพร้อมจะรับ “ขาดทุนบนกระดาษ” แลกกับกำไรทางเศรษฐกิจภาพใหญ่ไหม - กฎหมาย/ศาล/สังคมไทยพร้อมรับดีลพิเศษแบบนี้ไหม
ข้อที่ “เบี้ยว” หรือ oversimplify
- โรแมนติคฮ่องกงไปหน่อย ทั้งที่ดีลนี้ในฮ่องกงเองก็โดนประชาชน-นักการเมืองวิจารณ์หนักมากตั้งแต่วันแรก
- ตีความไทยว่า “เห็นแก่ตัว ขี้เหนียว ด้อยพัฒนา” จากการไม่เล่นดีลเสี่ยงสูงแบบนี้ ทั้งที่จริงมันมีข้อจำกัดเรื่องการเมือง การคลัง และความไวของสังคมต่อการเอื้อเอกชน
- ทำให้เหมือนมีแค่สองทางเลือกคือ - กล้าทำแบบฮ่องกง = วิสัยทัศน์ไกล - ไม่กล้าทำ = เลิกฝัน ในความเป็นจริง มันยังมีตัวเลือกอื่น เช่น โปรเจกต์ theme park ขนาดกลาง ใช้ IP แบบอื่น หรือใช้เงินรัฐพัฒนาสิ่งที่ “คุ้มกับบริบทไทย” มากกว่า
ถ้าจะสรุปสั้น ๆ ก็คือ:
- คอมเมนต์นี้ “ดีในฐานะการเขย่าความคิด” ให้คนเห็นว่า เมกะโปรเจกต์แบบดิสนีย์แลนด์ต้องแลกด้วยอะไรบ้าง
- แต่ถ้าเอาไปใช้เป็นข้อสรุปทางนโยบายแบบตรง ๆ เลย ก็ยังต้องใส่ nuance เรื่องการเมือง การคลัง กฎหมาย และความพร้อมของสังคมไทยเพิ่มอีกหลายชั้นครับ
References[edit | edit source]
- ↑ "วิเคราะห์การลงทุนสวนสนุก". ChatGPT. Retrieved 2025-12-11.
- ↑ "Wikipedia". en.wikipedia.org. Retrieved 2025-12-11.
- ↑ "siteselection.com". siteselection.com. Retrieved 2025-12-11.
- ↑ "Hong Kong Disneyland". Hong Kong Disneyland. Retrieved 2025-12-11.
- ↑ "Wikipedia". en.wikipedia.org. Retrieved 2025-12-11.
- ↑ "Hong Kong Disneyland" (PDF). Hong Kong Disneyland. Retrieved 2025-12-11.
- ↑ "app7.legco.gov.hk" (PDF). app7.legco.gov.hk. Retrieved 2025-12-11.
- ↑ "eScholarship" (PDF). escholarship.org. Retrieved 2025-12-11.
- ↑ "TIME". time.com. Retrieved 2025-12-11.
- ↑ "Accidental Travel Writer". Accidental Travel Writer. Retrieved 2025-12-11.